หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2556

โครงร่างงานวิจัย 5.วัตถุประสงค์ของการวิจัย (Objective (s))

          ภิรมย์  กมลรัตนกุล  (http://rdi.snru.ac.th/UserFiles/File/3(1).pdf)  กล่าวว่า  โครงร่างการวิจัย ต้องกำหนดวัตถุประสงค์ และเป้าหมายของโครงการให้ชัดเจน และเฉพาะเจาะจง ไม่คลุมเครือ โดยบ่งชี้ถึง สิ่งที่จะท า ทั้งของเขต และค าตอบที่คาดว่าจะได้รับ อันเป็นสิ่งซึ่งผู้วิจัยมุ่งหวัง ที่จะทำให้การวิจัยนั้น บรรลุทั้งในระยะสั้น และระยะยาว การตั้งวัตถุประสงค์ ต้องให้สมเหตุสมผล กับทรัพยากรที่เสนอขอ และเวลาที่จะใช้   โดยทั่วไป วัตถุประสงค์อาจจำแนกได้เป็น  2 ชนิด คือ
          ก. วัตถุประสงค์ทั่วไป (General Objective) จะกล่าวถึงสิ่งที่ คาดหวัง (implication) หรือสิ่งที่คาด
ว่าจะเกิดขึ้น จากการวิจัยนี้เป็นการแสดงรายละเอียด เกี่ยวกับจุดมุ่งหมาย ในระดับกว้าง จึงควร
ครอบคลุมงานวิจัยที่จะทำทั้งหมด
          ข. วัตถุประสงค์เฉพาะ (Specific Objective) จะพรรณาถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นจริง ในงานวิจัยนี้ โดย
อธิบายรายละเอียดว่า จะทำอะไร โดยใครทำมากน้อยเพียงใด ที่ไหน เมื่อไร และเพื่ออะไร โดย
การเรียงหัวข้อ ควรเรียงตามลำดับความสำคัญ ก่อน หลัง

          พวงรัตน์ ทวีรัตน์ (2538 : 6) กล่าวว่า
              1.  เพื่อเป็นการสร้างองค์ความรู้หรือทฤษฎี เนื่องจากธรรมชาติของมนุษย์มีความอยากรู้อยากเห็นและอยากรู้เหตุผลของปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น จึงทำการวิจัยเพื่อหาคำตอบ ทำให้เข้าใจและมีความรู้ใหม่ ๆ เป็นการเพิ่มพูนวิทยาการให้กว้างขวางลึกซึ้ง
             2.   เพื่อแก้ไขปัญหา ในการดำรงชีวิตของมนุษย์มักมีปัญหาหรือเหตุขัดข้องขึ้นอยู่เสมอ เช่น ปัญหาในการทำงาน ปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาการจราจร เป็นต้น มนุษย์จึงต้องทำการวิจัยเพื่อศึกษาสาเหตุและแนวทางแก้ปัญหา
              3.   เพื่อทดสอบหรือตรวจสอบข้อเท็จจริง ความรู้และทฤษฎีที่ได้มา เนื่องจากข้อเท็จจริงหรือความรู้มีการเปลี่ยนแปลงได้ตามเวลา และสถานการณ์ที่แตกต่างกัน จึงควรมีการทดสอบว่าความรู้หรือทฤษฎีเหล่านั้นสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อีกหรือไม่

            http://www.learners.in.th/blogs/posts/450209  กล่าวว่า  โครงร่างการวิจัย ต้องกำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมายของโครงการให้ชัดเจน และเฉพาะเจาะจงไม่คลุมเครือ บ่งชี้ถึงสิ่งที่จะทำ ทั้งขอบเขตและคำตอบที่คาดว่าจะได้รับ วัตถุประสงค์ต้องสอดคล้องกับชื่อเรื่องและคำถามของการวิจัย 

          สรุป
     วัตถุประสงค์ของการวิจัย (Objective (s))
          1.     เพื่อบรรยาย หรือพรรณนาข้อเท็จจริงหรือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นการทำวิจัยที่เริ่มจากความไม่รู้ ผู้วิจัยจึงมุ่งทีจะค้นหาความรู้หรือรายละเอียดของข้อสงสัยนั้น ๆ ว่ามีลักษณะอย่างไร มีข้อเท็จจริงอะไรบ้าง เช่น การศึกษาลักษณะประชากรของกรุงเทพมหานคร การศึกษาบริบทชุมชน ซึ่งจะทำให้ผู้วิจัยทราบข้อเท็จจริงที่เป็นปัจจุบัน
          2.     เพื่ออธิบายข้อเท็จจริงหรือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นการทำวิจัยเพื่ออธิบายว่าปรากฏการณ์หรือปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นมีสาเหตุมาจากอะไร ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น และเกิดผลกระทบอะไรบ้าง เช่น สภาวะโลกร้อน ปัญหาหนี้สินของเกษตรกร เป็นต้น
           3.    เพื่อ ทำนายหรือพยากรณ์ ปรากฏการณ์ที่จะเกิดขึ้น เป็นการทำวิจัยที่ต้องการบรรยายหรืออธิบายสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น โดยอาศัยความรู้หรือข้อมูลที่ได้จากการวิจัยในอดีตและหรือปัจจุบันมาเป็นแนว ทางในการคาดคะเนเหตุการณ์ล่วงหน้าว่าเมื่อเกิดขึ้นแล้วจะเกิดผลอะไร อย่างไร ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการวางแผนการทำงานในอนาคต

          อ้างอิง
     ภิรมย์  กมลรัตนกุล.  [ออนไลน์].  http://rdi.snru.ac.th/UserFiles/File/3(1).pdf.  เข้าถึงเมื่อ  15  พฤศจิกายน  2555.
     พวงรัตน์ ทวีรัตน์. (2538). การวิจัยทางพฤติกรรมและสังคมศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพฯ
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
     http://www.learners.in.th/blogs/posts/450209.  เข้าถึงเมื่อ  15  พฤศจิกายน  2555.

วันพุธที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2556

โครงร่างงานวิจัย 4.คำถามของการวิจัย (Research Question)

          http://blog.eduzones.com/jipatar/85921  กล่าวว่า   เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้วิจัยต้องกำหนดขึ้น (problem identification) และให้นิยามปัญหานั้น อย่างชัดเจน เพราะปัญหาที่ชัดเจน จะช่วยให้ผู้วิจัย กำหนดวัตถุประสงค์ ตั้งสมมติฐาน ให้นิยามตัวแปรที่สำคัญ ๆ ตลอดจน การวัดตัวแปรเหล่านั้นได้ ถ้าผู้วิจัย ตั้งคำถามที่ไม่ชัดเจน สะท้อนให้เห็นว่า แม้แต่ตัวก็ยังไม่แน่ใจ ว่าจะศึกษาอะไร ทำให้การวางแผนในขั้นต่อไป เกิดความสับสนได้
     คำถามของการวิจัยต้องเหมาะสม (relevant) หรือสัมพันธ์ กับเรื่องที่จะศึกษา โดยควรมีคำถาม ที่สำคัญที่สุด ซึ่งผู้วิจัย ต้องการคำตอบ มากที่สุด เพื่อคำถามเดียว เรียกว่า คำถามหลัก (primary research question) ซึ่งคำถามหลักนี้ จะนำมาใช้เป็นข้อมูล ในการคำนวณ ขนาดของตัวอย่าง (sample size) แต่ผู้วิจัย อาจกำหนดให้มี คำถามรอง (secondary research question) อีกจำนวนหนึ่งก็ได้ ซึ่งคำถามรองนี้ เป็นคำถาม ที่เราต้องการคำตอบ เช่นเดียวกัน แต่มีความสำคัญรองลงมา โดยผู้วิจัย ต้องระลึกว่า ผลของการวิจัย อาจไม่สามารถ ตอบคำถามรองนี้ได้ ทั้งนี้เพราะ การคำนวณขนาดตัวอย่าง ไม่ได้คำนวณเพื่อตอบคำถามรองเหล่านี้

          งานวิจัยและพัฒนาระบบบริการสุขภาพ  (http://in.kkh.go.th)  กล่าวว่า  มีความชัดเจนและสำคัญเพียงพอที่จะต้องทำวิจัย ทำเสร็จแล้วสามารถนำไปใช้ในการแก้ปัญหาสำคัญๆ ได้ ไม่เพียงแต่ตอบสนองความรู้ที่ตนเองต้องการเท่านั้น แต่ต้องตอบสนองต่อหน่วยงาน องค์กร ผู้ป่วย ประชาชนด้วย และต้องไม่คลุมเครือหรือมีขอบเขตกว้างจนเกินไป โดยต้องระบุให้ชัดเจนว่าเราต้องการทราบอะไร        ( ตั้งเป็นลักษณะคำถาม  “?” )


          สุรเชษฎ์  เพ็ญพร  (http://www.gotoknow.org/posts/452402)  กล่าวว่า  ในการวางแผนทำวิจัย สิ่งสำคัญอันดับแรกที่ผู้วิจัยต้องกำหนดคือ การกำหนดคำถามของการวิจัย (problem identification) และให้นิยามปัญหานั้นอย่างชัดเจน
     ปัญหาที่ชัดเจนจะช่วยให้ผู้วิจัยกำหนดวัตถุประสงค์ ตั้งสมมติฐาน ให้นิยามตัวแปรสำคัญ และการวัดตัวแปร ไม่ใช่ทุกปัญหาต้องทำวิจัย บางคำถามไม่ต้องวิจัยก็สามารถตอบปัญหาได้
     คำถามการวิจัยที่สำคัญที่สุดจะเป็นคำถามหลัก (primary research question) นำมาใช้เป็นข้อมูลในการคำนวณขนาดตัวอย่าง อาจมีคำถามรอง (secondary research question) อีกจำนวนหนึ่งก็ได้ แต่ผลการวิจัยอาจไม่สามารถตอบคำถามรองได้ เพราะการคำนวณขนาดตัวอย่าง ไม่ได้คำนวณเพื่อตอบคำถามรองเหล่านี้

          สรุป
     คำถามของการวิจัย (Research Question)  คือ  สิ่งสำคัญที่ผู้วิจัยต้องกำหนดขึ้น  และให้นิยามปัญหานั้นอย่างชัดเจน เพราะปัญหาที่ชัดเจนจะช่วยให้ผู้วิจัย กำหนดวัตถุประสงค์ ตั้งสมมติฐาน ให้นิยามตัวแปรที่สำคัญ ๆ ตลอดจน การวัดตัวแปรเหล่านั้นได้ ถ้าผู้วิจัย ตั้งคำถามที่ไม่ชัดเจน สะท้อนให้เห็นว่า แม้แต่ตัวก็ยังไม่แน่ใจ ว่าจะศึกษาอะไร ทำให้การวางแผนในขั้นต่อไป เกิดความสับสนได้


          อ้างอิง
   http://blog.eduzones.com/jipatar/85921. เข้าถึงเมื่อ  15  พฤศจิกายน  2555.
   สุรเชษฎ์  เพ็ญพร.  [ออนไลน์].  http://www.gotoknow.org/posts/452402.  เข้าถึงเมื่อ  15  พฤศจิกายน  2555.
   งานวิจัยและพัฒนาระบบบริการสุขภาพ.  [ออนไลน์].  http://in.kkh.go.th/department/research/index.php?option=com_content&view=article&id=52&Itemid=62.  เข้าถึงเมื่อ  15  พฤศจิกายน  2555.


          

โครงร่างงานวิจัย 3.ทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง (Review of Related Literatures)

          สุรเชษฎ์  เพ็ญพร  (http://www.gotoknow.org/posts/452402)  กล่าวว่า  ก่อนจะวางแผนทำวิจัยเรื่องใด ควรมีการทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่จะทำวิจัยอย่างละเอียดและรอบคอบ เพื่อทำให้เข้าใจอย่างแท้จริงเกี่ยวกับเรื่องนั้น
     การอ่านเอกสารจะต้องใช้วิจารณญาณในการประเมิน โดยวิเคราะห์ใน 2 ประเด็น คือ เอกสารนั้นถูกต้องและเชื่อถือได้หรือไม่ แล้วสามารถประยุกต์เข้ากับเรื่องที่เราจะศึกษาหรือไม่
     จากผลการประเมิน ถ้าพบว่าเรื่องที่จะศึกษา มีผู้อื่นทำแล้วด้วยรูปแบบการวิจัยและระเบียบวิธีวิจัยที่ถูกต้องเชื่อถือได้ และสามารถตอบคำถามของการวิจัยได้ชัดเจนแล้ว ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำวิจัยซ้ำ ให้เสียทั้งเวลาและงบประมาณ หากวิเคราะห์แล้วพบว่า ความรู้เท่าที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่สามารถตอบปัญหาการวิจัยได้ จำเป็นต้องทำวิจัยเรื่องนี้ โดยระบุว่าจะนำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์ได้อย่างไร
     การทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง ควรบรรยายในลักษณะการสรุปประเมินวิเคราะห์ดังกล่าว ไม่ใช่นำรายงานเหล่านั้นมาย่อ หรือยกเอาบทคัดย่อของแต่ละบทความมาประติดประต่อกัน เพราะจะทำให้เหตุผลต่างๆอ่อนลงไปมาก

          ภิรมย์  กมลรัตนกุล  (http://rdi.snru.ac.th/UserFiles/File/3(1).pdf)  กล่าวว่า  ก่อนที่จะวางแผนทำการวิจัยเรื่องใดก็ตาม ควรจะมีการทบวนวรรณกรรม ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เราจะทำวิจัย อย่างละเอียด และรอบคอบ เพื่อให้เข้าใจอย่างแท้จริง เกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆ โดยในขั้นตอนแรก ต้องแน่ใจเสียก่อนว่า เรากำลังจะศึกษาเรื่องอะไร 
     แหล่งที่มาของวรรณกรรมเหล่านี้ อาจรวบรวมได้มาจาก กลุ่มผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้น ,  ตำรามาตรฐาน ในสาขาที่จะทำวิจัย, วารสารต่าง ๆ , Current Contents ซึ่งรวบรวมสารบัญของสาขาต่าง ๆ เอาไว้, Index Medicus, Science Citation Index  หรือ MEDLINE ( MEDLARS on LINE) ซึ่งเป็นระบบวิเคราะห์ จัดเก็บ และเรียกใช้ ข้อมูลทางการแพทย์ โดยอาศัยคอมพิวเตอร์มาช่วย เป็นต้น เมื่อค้นได้รายงานงานต่าง ๆ ออกมาแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือ ต้องแสดงให้เห็นถึง ความสามารถในการใช้วิจารณญาณ ในการประเมิน บทความเหล่านั้น โดยความจะ วิเคราะห์ออกมา ใน 2 ประเด็น คือ
          ก. บทความนั้นถูกต้องและเชื่อถือได้หรือไม่ ?
          ข. สามารถประยุกต์ (Applicable) เข้ากับเรื่องที่เราจะศึกษาหรือไม่ ?
     จากผลการวิเคราะห์ ถ้าพบว่า เรื่องที่เรากำลังจะศึกษา มีผู้อื่นทำไปแล้ว ด้วยรูปแบบการวิจัย และระเบียบวิธีวิจัย ที่ถูกต้อง เชื่อถือได้ และสามารถตอบคำถามของการวิจัย ของเราได้ชัดเจนแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่จะมาทำวิจัยซ้ำให้เสียทั้งเวลา และงบประมาณอีก เป็นการลดความซ้ำซ้อน ไปได้ระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม งานวิจัยที่มีผู้ทำไว้แล้ว เราอาจจะทำใหม่ได้ ถ้าผลการวิเคราะห์ พบว่ารายงานที่ทำไปแล้ว ไม่ถูกต้อง หรือไม่น่าเชื่อถือ เช่น รูปแบบการวิจัย ไม่เหมาะสม ระเบียบวิธีวิจัยไม่ถูกต้อง หรือผลนั้น ไม่สามารถประยุกต์ เข้ากับประชากรของเราได้  การสรุป การศึกษารายงานอื่น ที่เกี่ยวข้อง ควรสรุป วิเคราะห์ออกมาว่า รายงานทั้งหมด เกี่ยวกับเรื่องนั้น มีจำนวนเท่าไร ในจำนวนนั้น ที่มีน่าเชื่อถือได้กี่เรื่อง ที่ไม่น่าเชื่อถือมีปัญหาอะไรบ้าง และในจำนวนที่เชื่อถือได้นี้ มีที่เห็นด้วยกับสมมติฐานของเราเท่าไร และมีที่คัดค้านเท่าไร โดยสรุป ออกมาให้ได้ว่า ในกรอบความรู้นั้น มีอะไรที่ทราบแล้ว และมีอะไรที่ยังไม่ทราบ โดยทั่วไป ควรจะวิเคราะห์ออกมา ในลักษณะที่ว่า ความรู้เท่าที่มีอยู่ในปัจจุบัน ไม่สามารถตอบปัญหา การวิจัยของเราได้ จึงจำเป็น ต้องทำวิจัยในเรื่องนี้ โดยระบุว่า เมื่อทำวิจัยเสร็จแล้ว จะนำผลการวิจัย ไปใช้ประโยชน์อย่างไรได้บ้าง
    การเขียนโครงร่าง การวิจัยในส่วนนี้ ควรบรรยายในลักษณะการสรุปวิเคราะห์ ดังกล่าวมาแล้ว ไม่ใช่นำรายงานเหล่านั้น มาย่อ หรือยกเอาบทคัดย่อ  (abstract) ของแต่ละบทความ มาปะติดปะต่อกัน เพราะจะทำให้เหตุผลต่าง ๆ อ่อนลงไปมาก

         http://www.learners.in.th/blogs/posts/450209  กล่าวว่า  ก่อนจะวางแผนทำวิจัยเรื่องใด ควรมีการทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่จะทำวิจัยอย่างละเอียดและรอบคอบ เพื่อทำให้เข้าใจอย่างแท้จริงเกี่ยวกับเรื่องนั้น
     การอ่านเอกสารจะต้องใช้วิจารณญาณในการประเมิน โดยวิเคราะห์ใน 2 ประเด็น คือ เอกสารนั้นถูกต้องและเชื่อถือได้หรือไม่ แล้วสามารถประยุกต์เข้ากับเรื่องที่เราจะศึกษาหรือไม่
     จากผลการประเมิน ถ้าพบว่าเรื่องที่จะศึกษา มีผู้อื่นทำแล้วด้วยรูปแบบการวิจัยและระเบียบวิธีวิจัยที่ถูกต้องเชื่อถือได้ และสามารถตอบคำถามของการวิจัยได้ชัดเจนแล้ว ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำวิจัยซ้ำ ให้เสียทั้งเวลาและงบประมาณ หากวิเคราะห์แล้วพบว่า ความรู้เท่าที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่สามารถตอบปัญหาการวิจัยได้ จำเป็นต้องทำวิจัยเรื่องนี้ โดยระบุว่าจะนำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์ได้อย่างไร
     การทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง ควรบรรยายในลักษณะการสรุปประเมินวิเคราะห์ดังกล่าว ไม่ใช่นำรายงานเหล่านั้นมาย่อ หรือยกเอาบทคัดย่อของแต่ละบทความมาประติดประต่อกัน เพราะจะทำให้เหตุผลต่างๆอ่อนลงไปมาก 

          สรุป 
     ทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง (Review of Related Literatures)  คือ  ก่อนจะทำวิจัย  ควรทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่จะทำวิจัยอย่างละเอียดและรอบคอบ เพื่อทำให้เข้าใจอย่างแท้จริงเกี่ยวกับเรื่องนั้น  โดยวิเคราะห์ใน 2 ประเด็น คือ เอกสารนั้นถูกต้องและเชื่อถือได้หรือไม่ แล้วสามารถประยุกต์เข้ากับเรื่องที่เราจะศึกษาหรือไม่  ถ้าพบว่าเรื่องที่จะศึกษา มีผู้อื่นทำแล้วด้วยรูปแบบการวิจัยและระเบียบวิธีวิจัยที่ถูกต้องเชื่อถือได้ และสามารถตอบคำถามของการวิจัยได้ชัดเจนแล้ว ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำวิจัยซ้ำให้เสียทั้งเวลาและงบประมาณ หากวิเคราะห์แล้วพบว่า ความรู้เท่าที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่สามารถตอบปัญหาการวิจัยได้ จำเป็นต้องทำวิจัยเรื่องนี้ โดยระบุว่าจะนำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์ได้อย่างไร  และการทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง ควรบรรยายในลักษณะการสรุปประเมินวิเคราะห์

          อ้างอิง
   สุรเชษฎ์  เพ็ญพร.  [ออนไลน์].  http://www.gotoknow.org/posts/452402.  เข้าถึงเมื่อ  15  พฤศจิกายน  2555.
    ภิรมย์  กมลรัตนกุล.  [ออนไลน์].  http://rdi.snru.ac.th/UserFiles/File/3(1).pdf.  เข้าถึงเมื่อ  15  พฤศจิกายน  2555.
   http://www.learners.in.th/blogs/posts/450209.  เข้าถึงเมื่อ  15  พฤศจิกายน  2555.

โครงร่างงานวิจัย 2.ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาการวิจัย (Background & Rationale)

          http://blog.eduzones.com/jipatar/85921  กล่าวว่า  อาจเรียกต่างๆกัน เช่น หลักการและเหตุผล ภูมิหลังของปัญหา ความจำเป็นที่จะทำการวิจัย หรือ ความสำคัญของโครงการวิจัย ฯลฯ ไม่ว่าจะเรียกอย่างไร ต้องระบุว่าปัญหาการวิจัยคืออะไร มีความเป็นมาหรือภูมิหลังอย่างไร มีความสำคัญ รวมทั้งความจำเป็น คุณค่าและประโยชน์ ที่จะได้จากผลการวิจัยในเรื่องนี้ โดยผู้วิจัยควรเริ่มจากการเขียนปูพื้นโดยมองปัญหาและวิเคราะห์ปัญหาอย่างกว้างๆ ก่อนว่าสภาพทั่วๆไปของปัญหาเป็นอย่างไร และภายในสภาพที่กล่าวถึง  มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นบ้าง ประเด็นปัญหาที่ผู้วิจัยหยิบยกมาศึกษาคืออะไร ระบุว่ามีการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ มาแล้วหรือยัง ที่ใดบ้าง และการศึกษาที่เสนอนี้จะช่วยเพิ่มคุณค่า ต่องานด้านนี้ ได้อย่างไร

          คณะกรรมการฝึกอบรมและสอบความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรม  (2554 : 25)  กล่าวว่า  อาจเรียกแตกต่างกัน เช่น ความเป็นมาหรือความสำคัญของปัญหา  หลักการและเหตุผล ภูมิหลังของปัญหา ความจำเป็นที่จะทำการวิจัย หรือ ความสำคัญของโครงการวิจัย ฯลฯ ไม่ว่าจะเรียกอย่างไร ต้องระบุว่าปัญหาการวิจัยคืออะไร มีความเป็นมาหรือภูมิหลังอย่างไร มีความสำคัญ รวมทั้งความจำเป็น คุณค่า และประโยชน์ ที่จะได้จากผลการวิจัยในเรื่องนี้ โดยผู้วิจัยควรเริ่มจากการเขียนปูพื้นโดยมองปัญหาและวิเคราะห์ปัญหาอย่างกว้างๆ ก่อนว่าสภาพทั่วๆไปของปัญหาเป็นอย่างไร และภายในสภาพที่กล่าวถึง  มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นบ้าง ประเด็นปัญหาที่ผู้วิจัยหยิบยกมาศึกษาคืออะไร ระบุว่ามีการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ มาแล้วหรือยัง ที่ใดบ้าง และการศึกษาที่เสนอนี้จะช่วยเพิ่มคุณค่า ต่องานด้านนี้ ได้อย่างไร
     การเขียนความเป็นมาหรือความสำคัญของปัญหาการวิจัยต้องเขียนให้หนักแน่น มีเหตุผลสนับสนุนที่น่าเชื่อถือ ชี้ประเด็นให้เห็นความสำคัญของการวิจัยอย่างแท้จริง กรณีที่เป็นศิลปนิพนธ์ให้อธิบายเหตุผลที่เลือกทำศิลปนิพนธ์เรื่องนี้ โดยอ้างทฤษฎีรายงานการวิจัยที่เกี่ยวข้องปัญหาที่ต้องการทราบและความสำคัญหรือประโยชน์ของการทำศิลปนิพนธ์เรื่องนี้มาสนับสนุนเหตุผล ควรเขียนให้กระชับและให้ความชัดเจน จากเนื้อหาในมุมกว้างแล้วเข้าสู่ปัญหาของศิลปนิพนธ์ที่ทำ เพื่อให้สามารถโน้มน้าวให้ผู้อ่านหรือผู้อนุมัติโครงการวิจัยคล้อยตามว่าถ้าหากวิจัยแล้วจะเกิดคุณประโยชน์อย่างไร แล้วสรุปเชื่อมโยงกับวัตถุประสงค์การวิจัย

          งานวิจัยและพัฒนาระบบบริการสุขภาพ  (http://in.kkh.go.th)  กล่าวว่า  ควรระบุเหตุผล ความสำคัญของปัญหา ให้ชัดเจนว่าทำไมต้องทำวิจัยเรื่องนี้ ถ้าไม่ทำแล้วจะเกิดผลกระทบอย่างไร ต่อใครบ้าง ถ้าทำแล้ว จะเป็นประโยชน์กับใครบ้าง อย่างไร เป็นต้น และควรมีการทบทวนวรรณกรรมมากพอและอ้างอิงข้อมูลที่ชัดเจน        
    
          สรุป
     ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาการวิจัย (Background & Rationale)  คือการระบุว่าปัญหาของการวิจัยคืออะไร  มีความเป็นมาอย่างไร  มีความสำคัญ  มีความจำเป็น  คุณค่าและประโยชน์อย่างไรหลังจากที่ได้ศึกษางานวิจัยนี้

          อ้างอิง
   http://blog.eduzones.com/jipatar/85921.  เข้าถึงเมื่อ 13  พฤศจิกายน 2555.
   คณะกรรมการฝึกอบรมและสอบความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรม.  (2554).  คู่มือศิลปนิพนธ์สาขาวิชาออกแบบนิเทศศิลป์. กรุงเทพฯ.
   งานวิจัยและพัฒนาระบบบริการสุขภาพ.  [ออนไลน์].  http://in.kkh.go.th/department/research/index.php?option=com_content&view=article&id=52&Itemid=62.  เข้าถึงเมื่อ  13  พฤศจิกายน  2555.

วันอาทิตย์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2555

โครงร่างงานวิจัย 1.ชื่อเรื่อง (The Title)

          http://blog.eduzones.com/jipatar/85921 กล่าวว่า  ชื่อเรื่องควรมีความหมายสั้น กะทัดรัดและชัดเจน เพื่อระบุถึงเรื่องที่จะทำการศึกษาวิจัย ว่าทำอะไร กับใคร ที่ไหน อย่างไร เมื่อใด หรือต้องการผลอะไร ยกตัวอย่างเช่น “ประสิทธิผลของการใช้วัคซีนป้องกันโรคหัดเยอรมันกับทหารในศูนย์ฝึกทหารใหม่ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ 2547” ในกรณีที่จำเป็นต้องใช้ชื่อที่ยาวมากๆ อาจแบ่งชื่อเรื่องออกเป็น 2 ตอน โดยให้ชื่อในตอนแรกมีน้ำหนักความสำคัญมากกว่า และตอนที่สองเป็นเพียงส่วนประกอบหรือส่วนขยาย เช่น “โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และการใช้ถุงยางอนามัย เพื่อป้องกันโรคของนักเรียนชาย : การเปรียบเทียบระหว่างนักเรียนอาชีวศึกษากับนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายในกรุงเทพมหานคร 2547”
          นอกจากนี้ ควรคำนึงด้วยว่าชื่อเรื่องกับเนื้อหาของเรื่องที่ต้องการศึกษาควรมีความสอดคล้องกันการเลือกเรื่องในการทำวิจัยเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ ที่ต้องพิจารณารายละเอียดต่างๆ หลายประเด็น โดยเฉพาะประโยชน์ที่จะได้รับจากผลของการวิจัย ในการเลือกหัวเรื่องของการวิจัย มีข้อควรพิจารณา 4 หัวข้อ คือ
          1    ความสนใจของผู้วิจัย  ควรเลือกเรื่องที่ตนเองสนใจมากที่สุด และควรเป็นเรื่องที่ไม่ยากจนเกินไป
          2    ความสำคัญของเรื่องที่จะทำวิจัย  ควรเลือกเรื่องที่มีความสำคัญ และนำไปใช้ปฏิบัติหรือสร้างแนวความคิดใหม่ๆได้  โดยเฉพาะเกี่ยวกับงานด้านเวชศาสตร์ครอบครัวหรือเชื่อมโยงกับระบบสุขภาพ
          3    เป็นเรื่องที่สามารถทำวิจัยได้  เรื่องที่เลือกต้องอยู่ในวิสัยที่จะทำวิจัยได้ โดยไม่มีผลกระทบอันเนื่องจากปัญหาต่างๆ  เช่น  ด้านจริยธรรม ด้านงบประมาณ ด้านตัวแปรและการเก็บข้อมูล ด้านระยะเวลาและการบริหาร ด้านการเมือง หรือเกินความสามารถของผู้วิจัย
          4    ไม่ซ้ำซ้อนกับงานวิจัยที่ทำมาแล้ว  ซึ่งอาจมีความซ้ำซ้อนในประเด็นต่างๆ ที่ต้องพิจารณาเพื่อหลีกเลี่ยง ได้แก่  ชื่อเรื่องและปัญหาของการวิจัย (พบมากที่สุด) สถานที่ที่ทำการวิจัย ระยะเวลาที่ทำการวิจัย วิธีการ หรือระเบียบวิธีของการวิจัย

          ภิรมย์ กมลรัตนกุล (http://cai.md.chula.ac.th/lesson/research/re12.htm#06-1)  กล่าวว่า  ชื่อเรื่อง มักเป็นส่วนดึงดูดความสนใจจุดแรกของโครงร่างการวิจัยทั้งโครงการ จึงควรตั้งชื่อเรื่องให้น่าสนใจ ทันต่อเหตุการณ์ พิจารณาแล้ว เป็นเรื่องที่วิจัยได้ (researchable topic) และควรแก่การแสวงหาคำตอบ  โดยทั่วไปหลักในการตั้งชื่อเรื่องทำได้โดยหยิบยกเอาคำสำคัญ (key words) ของเรื่องที่จะทำวิจัยออกมาประกอบกันเป็นชื่อเรื่อง จะทำให้ชื่อนั้นสั้น กระทัดรัด ชัดเจน และสื่อความหมาย ครอบคลุมความสำคัญของเรื่องที่จะศึกษาทั้งหมด  คำสำคัญ (key words) ควรเป็นคำที่ใช้กันทั่ว ๆ ไป (technical term) ในสาขาวิชาที่จะศึกษา จะช่วยให้บรรลุหลักการ ดังกล่าวข้างต้น ได้ดียิ่งขึ้น เช่น คำว่าประสิทธิผล (effectiveness), ปัจจัยเสี่ยง (risk factor), ความไว (sensitivity), ความถูกต้อง (accuracy) เป็นต้น ถ้าต้องมีทั้ง ชื่อเรื่องภาษาไทย และภาษาอังกฤษ ควรจะสอดคล้องไปด้วยกัน ในเชิงความหมาย

          ไพทูรย์  เวทการ (2540) กล่าวว่า               
   1) ชื่อเรื่องมีความชัดเจน รัดกุม และสื่อความหมายได้ครอบคลุมเนื้อหาที่จะวิจัยหรือไม่
   2) ชื่อเรื่องได้มีการระบุปัญหาเป็นการเฉพาะหรือชี้ชัดประเด็นที่จะศึกษาได้เพียงใด
   3) ชื่อเรื่องกว้างหรือแคบเกินไปหรือไม่
   4) การใช้คำขึ้นต้นมีลักษณะเป็นคำนามที่สื่อความหมายได้เพียงใด
   5) การตั้งชื่อจูงใจและดึงดูดความสนใจของผู้อ่านเพียงใด

          สรุป  
    ชื่อเรื่อง (The Title)  ควรมีความหมายสั้น กะทัดรัดและชัดเจน เพื่อระบุถึงเรื่องที่จะทำการศึกษาวิจัยว่าทำอะไร กับใคร ที่ไหน อย่างไร เมื่อใด หรือต้องการผลอะไร  ครอบคลุมเนื้อหาที่จะวิจัย  และความเป็นชื่อที่น่าสนใจ  ดึงดูดใจผู้อ่าน  ทันต่อเหตุการณ์  

          อ้างอิง
   http://blog.eduzones.com/jipatar/85921.  เข้าถึงเมื่อ 13  พฤศจิกายน 2555.
   ภิรมย์ กมลรัตนกุล. [ออนไลน์].  http://cai.md.chula.ac.th/lesson/research/re12.htm#06-1.  เข้าถึงเมื่อ 13  พฤศจิกายน  2555.
   ไพทูรย์  เวทการ.  (2540).  ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการวิจัย.  ลำปาง : โรงพิมพ์ช่างแดง.

วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

สือประสม คืออะไร

          กิดานันท์ มลิทอง (http://www.st.ac.th/av/inno_multimedia.htm) ได้รวบรวมและกล่าวไว้ว่า สื่อประสมหรือสื่อหลายแบบ (Multimedia) เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้คอมพิวเตอร์สามารถผสมผสานระหว่างข้อความ ข้อมูล ตัวเลข ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว และเสียง ตลอดจนระบบโต้ตอบกับผู้ใช้ (Interactive) มาผสมผสานเข้าด้วยกัน
        สื่อประสมหรือมัลติมีเดีย หมายถึงการนำเอาสื่อหลาย ๆ อย่าง เช่น รูปภาพ เทป แผ่นโปร่งใส มาใช้ร่วมกัน เพื่อส่งเสริมให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการเรียนการสอน ต่อมาเมื่อมีการนำคอมพิวเตอร์มาใช้มากขึ้น และสามารถใช้งาน ได้ทั้งภาพนิ่ง เสียง ข้อความและภาพเคลื่อนไหว ทำให้ความหมายของสื่อประสมเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งส่วนประกอบหลัก ที่มีใช้ทั่วไปของคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียจะมี CD-ROM sound card และลำโพง เพิ่มเข้ามาในคอมพิวเตอร์ หรืออาจมีส่วนประกอบที่เกี่ยวกับการใช้งานวิดีโอด้วย นอกจากนี้ยังมีความหมายรวมถึงการใช้การใช้คอมพิวเตอร์ควบคุมอุปกรณ์อื่น ๆ เช่น เครื่องวิดีโอเทปเสียง ซีดีรอม กล้องดิจิตอล โทรทัศน์ฯลฯ ให้ทำงานร่วมกัน การใช้คอมพิวเตอร์ควบคุมอุปกรณ์หลาย ๆ อย่างดังกล่าวจะต้องอาศัย โปรแกรมคอมพิวเตอร์ (Software) และอุปกรณ์ (Hardware) ต่าง ๆ ประกอบกัน บางครั้งจึงเรียกว่าสถานีปฏิบัติการมัลติมีเดีย (Multimedia workstation) 


          เศรษฐพงศ์ เสนาเพ็ง (http://cs.ssru.ac.th/s51122201117/index.html) ได้รวบรวมและกล่าวไว้ว่า สื่อประสมคือการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อแสดงและนำเสนอในรูปข้อความรูปภาพ เสียง วีดิทัศน์ โดยเชื่อมโยงกับอุปกรณ์ต่างๆที่ใช้เพื่อการท่องไปในเนื้อเรื่อง การมีปฏิสัมพันธ์ การสร้างและการสื่อสาร


          http://www.idis.ru.ac.th/report/index.php?topic=5903.0 ได้รวบรวมและกล่าวไว้ว่า สื่อประสม (multimedia theory) เป็นการนำเอาสื่อการสอนหลาย ๆ อย่าง มาสัมพันธ์กัน และ มีคุณค่าที่ส่งเสริมซึ่งกันและกันอย่างมีระบบ สื่อการสอนอย่างหนึ่งอาจใช้เพื่อเร้าความสนใจ ในขณะที่อีกสื่อใช้อธิบายข้อเท็จจริงของเนื้อหา การใช้สื่อประสมจะช่วยให้ผู้เรียน มีประสบการณ์จากประสาทสัมผัส ให้นักเรียนได้ค้นพบวิธีการ ที่จะเรียนในสิ่งที่ต้องการได้ด้วยตนเองมากยิ่งขึ้น


          สรุป
     สื่อประสม หมายถึงการนำเอาสื่อหลาย ๆ อย่าง เช่น รูปภาพ เทป แผ่นโปร่งใส มาใช้ร่วมกัน เพื่อส่งเสริมให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการเรียนการสอน 


          ที่มา
     1. กิดานันท์ มลิทอง. สื่อประสม (Multimedia) . (ออนไลน์).เข้าถึงได้จาก :   http://www.st.ac.th/av/inno_multimedia.htm . วันที่สืบค้นข้อมูล : 27 กรกฏาคม 2555.  

     2.  เศรษฐพงศ์ เสนาเพ็งความหมายของคำว่าสื่อประสม. (ออนไลน์).เข้าถึงได้จาก :   http://cs.ssru.ac.th/s51122201117/index.html . วันที่สืบค้นข้อมูล : 27 กรกฏาคม 2555. 
     3.  สื่อประสมกับการเรียนการสอน . (ออนไลน์).เข้าถึงได้จาก :    http://www.idis.ru.ac.th/report/index.php?topic=5903.0 . วันที่สืบค้นข้อมูล : 27 กรกฏาคม 2555. 

สื่อการสอน คืออะไร

          http://oohlively1.blogspot.com/ ได้รวบรวมและกล่าวไว้ว่า สื่อการเรียนการสอน หมายถึง ตัวกลางหรือช่องทางในการถ่ายทอดองค์ความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ จากแหล่งความรู้ไปสู่ผู้เรียน และทำให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพประเภทของสื่อการเรียนการสอนสื่อการเรียนการสอนแบ่งตามคุณลักษณะได้ 4 ประเภทคือ
     1. สื่อประเภทวัสดุ ได้แก่ สไลด์ แผ่นใส เอกสาร ตำรา สารเคมี สิ่งพิมพ์ต่าง ๆ และคู่มือการฝึกปฏิบัติ     2. สื่อประเภทอุปกรณ์ ได้แก่ ของจริง หุ่นจำลอง เครื่องเล่นเทปเสียง เครื่องเล่นวีดิทัศน์ เครื่องฉายแผ่นใส อุปกรณ์และเครื่องมือในห้องปฏิบัติการ     3. สื่อประเภทเทคนิคหรือวิธีการ ได้แก่ การสาธิต การอภิปรายกลุ่ม การฝึกปฏิบัติ การฝึกงาน การจัดนิทรรศการ และสถานการณ์จำลอง     4. สื่อประเภทคอมพิวเตอร์ ได้แก่ คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) การนำเสนอด้วยคอมพิวเตอร์ (Computer presentation) การใช้ Intranet และ Internet เพื่อการสื่อสาร (Electronic mail: E-mail) และการใช้ WWW (World Wide Web)


          นริศรา โพธิ์ขำ (http://narissaraenglish.blogspot.com/2007/08/1.html) ได้รวบรวมและกล่าวไว้ว่า สื่อการสอน หมายถึง วัสดุ อุปกรณ์ และวิธีการ ซึ่งถูกนำมาใช้ในการการเรียนการสอน เพื่อเป็นตัวกลางในการนำส่งหรือถ่ายทอดความรู้ ทักษะ และเจตคติ จากผู้สอนหรือแหล่งความรู้ไปยังผู้เรียน ช่วยให้การเรียนการสอนดำเนินไปอย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพ และทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ของการเรียนการสอนที่ตั้งไว้


          อัจฉรา  วาทวัฒนศักดิ์ (http://www.school.net.th/library/create-web/10000/generality/10000-13225.html) ได้รวบรวมและกล่าวไว้ว่า 
สื่อการสอนหมายถึง สิ่งซึ่งใช้เป็นตัวกลางในการถ่ายทอดความรู้ ทักษะ และเจตคติให้แก่ผู้เรียน หรือทำให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ มนุษย์รู้จักนำเอาสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ มาให้เป็นสื่อการสอน ตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ. 1930 เป็นต้นมา ด้วยความเจริญก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน ทำให้สิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ ตลอดจนวิธีการแปลก ๆ ถูกนำมาใช้เป็นสื่อการสอนกันอย่างกว้างขวาง เช่น การใช้โทรทัศน์เพื่อการศึกษาทั้งในระบบวงจรปิด และในระบบทางไกล หรือการใช้ชุดการสอนเพื่อการเรียนรู้เป็นรายบุคคล เป็นต้น





          สรุป


     
สื่อการสอน หมายถึง ตัวกลางหรือช่องทางในการถ่ายทอดองค์ความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ จากแหล่งความรู้ไปสู่ผู้เรียน และทำให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพโดยใช้สื่อต่างๆ เช่น สไลด์ แผ่นใส เอกสาร ตำรา คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) เป็นต้น


          ที่มา
     1. ความหมาย ประเภทและประโยชน์ของสื่อการเรียนการสอน. (ออนไลน์).เข้าถึงได้จาก :   http://oohlively1.blogspot.com/ . วันที่สืบค้นข้อมูล : 26 กรกฏาคม 2555.  
     2.  นริศรา โพธิ์ขำสื่อการสอนความหมายของสื่อการสอน. (ออนไลน์).เข้าถึงได้จาก :   http://narissaraenglish.blogspot.com/2007/08/1.html . วันที่สืบค้นข้อมูล : 26 กรกฏาคม 2555.      3. อัจฉรา  วาทวัฒนศักดิ์. สื่อกับการจัดการเรียนการสอน. (ออนไลน์).เข้าถึงได้จาก :    http://www.school.net.th/library/create-web/10000/generality/10000-13225.html  . วันที่สืบค้นข้อมูล : 26 กรกฏาคม 2555.